วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ของการบริโภคนม


          นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งกำลังสืบหากลุ่มคนกลุ่มแรกที่รีด “นม-ของเหลวทรงคุณค่า” จากสัตว์ต่าง ๆ เมื่อหลายพันปีก่อน โดยการศึกษาหลักฐานต่าง ๆ เพื่อสืบหาคำตอบของข้อสงสัยนี้ อาจนำไปสู่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่า เช่น ทำไมผู้คนมากมายในปัจจุบันยังคงมีอาการไม่สบายจากการดื่มนม หรือในบางประเทศแทบจะไม่มีใครดื่มนม หรือรับประทานอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์จากนมได้เลย
          นอกจากนี้แล้ว การศึกษาเรื่องนี้ยังช่วยอธิบายเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติหลาย ๆ เหตุการณ์ได้อีกด้วย เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนมอาจเป็นตัวกำหนดรูปแบบของสังคม ในยุคก่อนที่จะมีตู้เย็นและร้านขายของชำ ซึ่งทำหน้าที่เก็บตุนอาหารไว้ให้ผู้คนได้บริโภค ซึ่งการเลี้ยงสัตว์เพื่อรีดนมเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญของประวัติศาสตร์ทางด้านเกษตรกรรม รวมถึงการบริโภคนมก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจทางด้านโภชนาการของมนุษย์
         แม้ว่านมจะเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในโลกยุคปัจจุบัน แต่ประวัติศาสตร์ของนมเป็นสิ่งที่ท้าทายในการรวบรวมชิ้นส่วนต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิจัยเรื่องนี้ต้องทำงานคล้ายเป็นนักสืบ ด้วยวิธีการสืบหาที่หลากหลาย เช่น วิเคราะห์หาร่องรอยของนมที่อาจติดอยู่กับหม้อ หรือภาชนะยุคโบราณ สืบหายีนที่ทำให้มนุษย์สามารถบริโภคนมได้ ในขณะที่ยังมีมนุษย์อีกมากที่บริโภคไม่ได้ หรือแม้กระทั่งการค้นหาร่องรอยจากซากกระดูกของสัตว์ที่ให้นมได้เช่น วัว แกะ ม้า เป็นต้น
         มาร์ก โธมัส นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ผู้ทำการศึกษาประวัติศาตร์การเปลี่ยนแปลงของยีนของมนุษย์ ได้กล่าวว่า นมอาจเป็นอาหารชั้นเลิศชนิดแรกของโลก และการดื่มนมได้นั้นมีประโยชน์อย่างมากมาย
         การดื่มนมไม่ได้เป็นธรรมชาติของเด็กโตและผู้ใหญ่ นมมีน้ำตาลที่เรียกว่า แลคโตส เป็นส่วนประกอบ ร่างกายของเราต้องใช้เอนไซม์แลคเตสเพื่อเปลี่ยนแลคโตสให้เป็นพลังงาน
         ลูกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมทั้งทารกของมนุษย์เรา มีเอนไซม์แลคเตสอย่างอุดมสมบูรณ์ในร่างกาย ทำให้สามารถบริโภคนมแม่ได้ แต่เมื่ออายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป เอนไซม์แลคเตสจะลดปริมาณลงอย่างมาก เมื่อไม่มีแลคเตส มนุษย์เราจะเกิดอาการที่เรียกว่า “แพ้นม” คือมีอาการไม่สบายจากการบริโภคนม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่นเกิดแก๊สมากในกระเพาะอาหาร ปวดท้องหรือท้องเสียอย่างรุนแรง
       
               ในยุคแรก ๆ บรรพบุรุษของพวกเราไม่สามารถบริโภคนมเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ เพราะร่างกายไม่ได้ต้องการนม แต่เมื่อเริ่มมีผู้คนทำการรีดนมจากสัตว์ต่าง ๆ ได้ จึงมีคนบางกลุ่มที่มีวิวัฒนาการในการรักษาความสามารถในการดื่มนมไว้ได้ตลอดอายุขัย
              การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพแบบนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยส่งเสริมการอยู่รอด เพราะนมอุดมไปด้วย แคลอรี่ ไขมัน โปรตีน แคลเซี่ยม และสารอาหารอื่น ๆ สำหรับคนในยุคโบราณแล้ว นมเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าและมีให้บริโภคได้อย่างสม่ำเสมอ
             ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์รู้ถึงความเกี่ยวพันของนมกับการกลายพันธุ์ของยีนในตัวเรา โดยคนที่มีการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องจะสามารถบริโภคนมได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าไม่มีก็อาจเกิดอาการแพ้นมได้
              ความสามารถในการบริโภคนมเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการอยู่รอดของผู้คนในช่วง 8,000-10,000 ปีก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

              ผู้คนส่วนใหญ่ในแถบตอนเหนือและตอนกลางของทวีปยุโรปสามารถบริโภคนมได้ ชีส เนย รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนมชนิดต่าง ๆ ล้วนเป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น สวีเดน เดนมาร์ก เยอรมัน และอังกฤษ
              ในทางกลับกัน ผู้คนจำนวนมากในทวีปแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาใต้ มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงจากอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบ เพราะทำให้เกิดอาการท้องเสีย รวมถึงอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร
              จากการวิเคราะห์รูปแบบทางพันธุกรรมดังกล่าว พบว่า การดื่มนมอาจเริ่มต้นในแถบตอนเหนือของทวีปยุโรป ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผลิตภัณฑ์จากนมอย่างยาวนาน และมีการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้บริโภคนมได้อย่างแพร่หลายทุกพื้นที่
              แต่จากการศึกษาด้วยการสร้างแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษาการแพร่กระจายของการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้บริโภคนมได้ การทำฟาร์ม และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พบว่าคนกลุ่มแรกที่บริโภคนมอาศัยอยู่ในแถบตอนกลางของทวีปยุโรป เมื่อประมาณ 7,500 ปีก่อน ซึ่งบริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของประเทศฮังการีในปัจจุบัน ไม่ได้เริ่มจากทางตอนเหนืออย่างที่คาดการณ์ไว้
             โดยในช่วงเวลาขณะนั้น วัฒนธรรมการรวมกลุ่มเป็นชุมชนและทำฟาร์ม ที่เรียกว่า Linearbandkeramik เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกในแถบพื้นที่ตอนกลางของทวีปยุโรปด้วยเช่นกัน และได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาหลังจากนั้นไม่กี่ร้อยปี จนครอบคลุมแถบตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปเกือบทั้งหมด
              มาร์ก โธมัส ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การดื่มนมอาจเป็นเหตุให้วัฒนธรรมแบบ Linearbandkeramik ประสบผลสำเร็จ และวัฒนธรรมนี้ก็ทำให้ทวีปยุโรปเกิดการเปลี่ยนแปลง การดื่มนมอาจเป็นตัวกำหนดรูปแบบภาษาและวัฒนธรรมในบริเวณตอนเหนือของยุโรปในช่วงหลายพันปีก่อนหน้านี้ และความสามารถในการบริโภคนมเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัวของภาษาและวัฒนธรรมนี้ด้วย

             นอกเหนือไปจากการสืบค้นหากลุ่มคนกลุ่มแรกที่บริโภคนมด้วยวิธีการศึกษาประวัติศาตร์การเปลี่ยนแปลงของยีนของมนุษย์แล้ว ยังได้มีการสืบหาด้วยการวิเคราะห์ภาชนะหุงต้มโบราณที่หลงเหลืออยู่ในหลายพื้นที่ทางโบราณคดีในทวีปยุโรปโดยริชาร์ด เอเวอร์เชด นักเคมีจากมหาวิทยาลัยบริสทอล แห่งสหราชอาณาจักร
              ริชาร์ด เอเวอร์เชดและคณะของเขา ได้ชี้ให้เห็นถึงไขมันนมที่แห้งเหือดบนหม้อที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบ มีอายุราว 9,000 ปี และค้นพบนอกทวีปยุโรป โดยถูกค้นพบในบริเวณที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ของแถบตะวันออกกลางที่เรียกว่า fertile crescent ซึ่งในปัจจุบันพื้นที่บริเวณนี้ครอบคลุมประเทศอิรัก ซีเรีย และอิสราเอล หลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้อาจเป็นสถานที่แรกที่ผู้คนมีการนำสัตว์มาเลี้ยงในบริเวณที่อยู่อาศัย
              อันที่จริงแล้ว การบริโภคนมอาจเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านั้น แม้ว่านักโบราณคดีอาจไม่เคยค้นพบหม้อโบราณที่มีอายุมากกว่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการเลี้ยงฝูงแกะที่เป็นตัวเมียเกือบทั้งหมด ซึ่งอาจหมายถึงว่า การเลี้ยงฝูงแกะนี้เพื่อต้องการนมของมันไม่ใช่เนื้อ เพราะสัตว์ตัวเมียเป็นผู้ผลิตนม

                          
         แม้จะมีร่องรอยเหล่านั้น แต่โธมัสซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ยีนจากกระดูกของชาวยุโรปในยุคแรก ๆ ก็ไม่เคยได้พบสัญญาณใดที่ระบุว่ามนุษย์มีการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้บริโภคนมได้ ในช่วงที่นานกว่าเมื่อ 7,500 ปีก่อน
               หลักฐานที่กล่าวมาอาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมมนุษย์ต้องรีดนมสัตว์ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่สามารถบริโภคนมได้
               จากการศึกษาพบว่า กระบวนการหมัก และเปลี่ยนนมให้เป็นโยเกิร์ต ชีส และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ทำให้ปริมาณของแลคโตสลดลงไปมาก แม้แต่คนที่มีอาการแพ้นมก็สามารถบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเหล่านี้ได้โดยไม่มีอาการแพ้
                ผลิตภัณฑ์จากนมเหล่านี้สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสีย และกระบวนการในการผลิต เช่น การหมัก ก็ทำได้ไม่ยาก ในประเทศเขตร้อน แค่เพียงนำนมใส่หม้อแล้วนำออกไปตากแดดไว้ทั้งวัน ก็จะเปลี่ยนนมให้เป็นโยเกิร์ตที่มีคุณค่าอาหารและบริโภคได้ง่ายขึ้น
               โธมัสได้กล่าวสรุปจากการวิเคราะห์ประเด็นนี้ว่า พวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่าความสามารถในการบริโภคนมเกิดขึ้นภายหลังจากมีความชำนาญในการผลิตนมและผลิตภัณฑ์จากนมแล้ว
               นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมีความรู้เกี่ยวกับช่วงเวลาและสถานที่ที่มีการผลิตนมเพิ่มมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าทำไมมนุษย์จึงเริ่มดื่มนม ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการสืบหาปริศนาของการดื่มนมต่อไป


แปลและเรียบเรียงจาก science news for kids: got milk? How? โดย Emily Sohn
http://www.sciencenews.org/view/feature/id/55334
วันที่ 4 ก.พ 2556



                          
             
            




6 ความคิดเห็น: